NOW PLAYING
listen live

NEWS

รำลึก! ย้อนเรื่องราวความสำเร็จของ Avicii ตำนานในความทรงจำตลอดกาล

Apr 20, 2021

หากย้อนเวลากลับไปเมื่อ 3 ปีที่แล้ว วันที่ 20 เมษายน 2018 คือวันที่แฟนเพลงแดนซ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกต่างช็อคตามๆ กัน เมื่อได้ทราบข่าวการจากไปของดีเจและโปรดิวเซอร์ชาวสวีเดนอย่างนาย Tim Berling หรือที่รู้จักในชื่อ Avicii ผู้เป็นเจ้าของเพลงดัง "Levels", "Wake Me Up", "The Nights" และอีกหลากหลายผลงานที่เป็นดั่งแรงบันดาลขับเคลื่อนหัวใจคนทั่วโลก โดยวันนี้ทีม Rad จึงอยากจะขอนำเสนอเรื่องราวความสำเร็จบนเส้นทางของเขามาให้คุณผู้ฟังได้ร่วมรำลึกไปด้วยกันอีกครั้งครับ
 
 
 
1. จุดเริ่มต้นของการเป็น Avicii
 
ย้อนเวลากลับไปเด็กชาย Tim ได้ถือกำเนิดขึ้นมาที่เมืองสต็อกโฮล์ม เป็นลูกชายของ Klas Bergling และ Anki Lidén นักแสดงสาวชาวสวีเดน เจ้าของรางวัลชนะเลิศจากผลงานเรื่อง Wallander และ Irene Huss
 
โดยในช่วงที่ Tim อายุได้ 16 ปี เขาก็ได้รับแรงบันดาลใจจากดูโอโรบอท Daft Punk และ Swedish House Mafia ทำให้เขาเริ่มทำรีมิกซ์ออกมา พร้อมปล่อยมันไปบนเว็บไซต์ของซุปตาร์โปรดิวเซอร์ชาวดัตช์อย่าง Laidback Luke ภายใต้ชื่อ Avicii ซึ่งหมายถึงขุมนรกชั้นต่ำที่สุด "อเวจี" ในศาสนาพุทธนั่นเอง ซึ่งจากการปล่อยผลงานในครั้งนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้รู้จักกับ Arash Pournouri พร้อมได้เซ็นสัญญากับค่าย Dejfitts Plays ในเวลาต่อมา
 
และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของภาวะติดสุราของเขาด้วยเช่นกัน 
 
“You’re travelling around, you live in a suitcase, you get to this place, there’s free alcohol everywhere – it’s sort of weird if you don’t drink … I just got into a habit, because you rely on that encouragement and self-confidence you get from alcohol.”
 
เขากล่าวกับทางนิตยสาร
 
“I was so nervous. I just got into a habit, because you rely on that encouragement and self-confidence you get from alcohol, and then you get dependent on it.”
 
 
 
2. เพลงฮิตเพลงแรก
 
เขาประสบความสำเร็จมากกับเพลง "Seek Bromance" ที่เคยปล่อยออกมาเมื่อปี 2010 แต่แม้จะโด่งดังมากในยุโรป แต่แฟนเพลงไม่ทราบว่านี่คืองานของ Avicii เพราะตอนนั้นเขาปล่อยมันออกมาในชื่อ Tim Berg นั่นเองครับ
 
 
 
3. จุดเปลี่ยนสำคัญในระดับโลก
 
กลายเป็นชื่อในวงการของเขานับแต่นั้นมา เมื่อเขาได้ปล่อยเพลง "Levels" ออกมาในปี 2011 ภายใต้ชื่อ Avicii และแน่นอนมันกลายเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จมากจนถึงปัจจุบัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้ร่วมงานกับ David Guetta ในเพลง "Sunshine" เมื่อปี 2013 จากนั้นก็ได้มีคิวขึ้นแสดงบนเวทีเทศกาลดนตรีใหญ่ Lollapalooza ในเมืองชิคาโก
 
เวลานั้นเองวงการเพลงฝั่งอเมริกันก็เริ่มให้ความสนใจกับโปรดิวเซอร์ชาวสวีเดนมากขึ้น ทำให้เขาได้รับรางวัลชนะเลิศสาขา Song of the Year สำหรับเพลง "Levels" และได้เข้าชิงสาขา Best Dance Recording ในเพลง "Sunshine" ซึ่งจากนั้นมาเขาก็เริ่มมีโอกาสก้าวสู่เบื้องหน้ามาขึ้นทั้งการปล่อยเพลง "I Could Be The One" กับนาย Nicky Romero ตลอดจนการได้ขึ้นแสดงเวที Ultra Music Festival 2012 ร่วมกับราชินีเพลงป็อบอย่าง Madonna และทำรีมิกซ์ในเพลง "Good Girld Gone Wild" ให้เธออีกด้วย
 
 
 
4. อัลบั้มแรกของ Tim
 
เขาได้เปิดตัวอัลบั้ม "True" ออกมาเมื่อกันยายน ปี 2013 ประกอบด้วยผลงานสร้างชื่ออย่างเพลง "Wake Me Up" ที่ได้หนุ่ม Aloe Blacc มาฝากเสียงร้อง จนกลายเป็นเพลงที่มีคนสตรีมมากที่สุดบน Spotify และมียอดวิวขึ้นทำเนียบ 2 พันล้านครั้งบน Youtube จนทุกวันนี้
 
หลังจากนั้น Avicii ก็ยังมีผลงานร่วมกับศิลปินอื่นๆ ตามมาอีก ไม่ว่าจะเป็นเพลง "A Sky Full of Stars" ของ Coldplay หรือ "Lovers on the Sun" ของ David Guetta ที่เขาได้ร่วมโปรดิวซ์อยู่เบื้องหลัง
 
ก่อนจะปล่อยอัลบั้ม "Stories" ตามมาในปี 2015 ที่มีการร่วมงานกับ Robbie Williams ในเพลง "The Days" และการร่วมงานกับ Martin Garrix ในเพลง "Wating For Love" รวมถึงเพลงดังที่กลายเป็นคติการใช้ชีวิตของแฟนเพลงทั่วโลกอย่างเพลง "The Nights" กับเนื้อร้องที่ว่า ..
 
"One day you'll leave this world behind
So live a life you will remember"
 
 
 
5. Avicii เริ่มถอยหลังจากการแสดง
 
ช่วงกันยายน 2014 เขาได้ประกาศว่าจะพักการเดินสายทัวร์และการแสดง เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดถุงน้ำดี ทำให้เขายกเลิกคิวที่เหลืออยู่ในปีนั้นออกหมด ตั้งแต่การเล่นประจำในคลับใหญ่เมืองลาสเวกัสอย่าง Encore Beach Club และ XS Nightclub ตลอดจนงานเทศกาลดนตรีใหญ่อย่าง TomorrowWorld ที่สุดท้ายแล้วกลายเป็นดีเจหนุ่มหน้าใส หน้าใหม่ที่แฟนเพลงไม่ค่อยคุ้น และหลายคนกังวลว่าการขึ้นมาแทนที่ Avicii บน mainstage แบบนี้จะไหวไหม แต่สุดท้ายด้วยความที่ Avicii คือไอดอล และเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นดีเจของพ่อหนุ่มคนนี้ เขาจึงพิสูจน์ตัวเองจนสำเร็จ แจ้งเกิดได้ในเวลาต่อมา เขาคนนั้นคือนาย Kygo ครับ
 
 
 
6. มีชื่อปรากฏในเพลงดัง
 
นับเป็นตัวพิสูจน์ความปังในอย่างนึง เมื่อชื่อของเขาปรากฏในเพลงดังของ  Mike Posner ในปี 2016 อย่างเพลง "I Took A Pill In Ibiza" ที่มีเนื้อร้องว่า ..
 
"I took a pill in Ibiza/To show Avicii I was cool."
 
 
 
7. ประกาศอำลาการขึ้นแสดง
 
แม้ว่าเขาจะกลับไปทำการแสดงหลังจากพักการผ่าตัดถุงน้ำดี แต่ช่วงมีนาคม 2016 เขาก็ได้ประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กอย่างชัดเจนว่า เขาจะหยุดเดินสายทัวร์และทำการแสดงสด พร้อมให้เหตุผลถึงปัญหาทางสภาพจิตใจผ่านสัมภาษณ์กับ Rolling Stone ด้วยว่า
 
"A lot of things start suffering when you don't have the energy or time to do things properly. You think you can get away with it, but the quality suffers."
 
แต่ก็ยังเป็นโชคดีของแฟนเพลงบ้านเราที่ได้ชมเขาในประเทศไทยเป็นครั้งสุดท้ายบนเวที Road to Ultra 2016 ที่ไบเทค บางนา ซึ่งแม้เขาจะโบกมือให้กับการแสดงสด แต่เขาก็ยังคงโปรดิวซ์เพลงในสตูดิโอต่อไป
 
 
 
8. อัลบั้มชุดสุดท้าย
 
หลังจากที่เขายุติการร่วมงานกับผู้จัดการเก่า Arash Pournouri แล้วในช่วงปลายปี 2016 ต่อมาเขาก็ได้ปล่อยอัลบั้ม EP. ชื่อ "Avīci" ในเดือนสิงหาคม 2017 ซึ่งมาพร้อม 6 เพลง ซึ่งตั้งใจไว้ว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของอัลบั้มเต็มชุดที่ 3 
 
"I'm really excited to be back with music once again, it has been a long time since I released anything and a long time since I was this excited over new music!" 
 
เขาได้พูดถึงเรื่องนี้ไว้กับทาง Billboard
 
"My focus on this first EP of the album was to get a mix of new and old songs, some that fans have been asking about/waiting for mixed with brand new songs that they haven't heard before!"
 
 
 
9.  ทั่วโลกไว้อาลัย
 
วันที่ 20 เมษายน 2018 เกิดข่าวด่วนไม่คาดฝัน เมื่อมีรายงานพบศพของเขาในเมืองมัสกัต ประเทศโอมาน ภายหลังทางครอบครัวได้ระบุว่าเป็นการฆ่าตัวตาย พร้อม โดยได้มีการจัดพิธีที่สุสาน Skogskyrkogården เมืองสต็อกโฮล์ม ซึ่งทางพ่อแม่ของเขาได้รับมรดกราว 857 ล้านบาทไทย
 
ต่อมาทางครอบครัวก็ได้โพสต์ถึงการจากไปของ Avicii ว่า เขาเป็นคนที่มี "จิตวิญญาณที่เปราะบาง"  เขาต่อสู้กับการค้นหาความหมายของชีวิตและความสุข ซึ่งในวิดีโอสารคดีเรื่อง Avicii: True Stories เขาได้กล่าวไว้ราวกับรู้ตัวว่า เขาจะตาย ถ้ายังไม่หยุดเดินสายทัวร์
 
"Everyone knows that I've had anxiety and that I have tried. I did not expect that people would try to pressure me into doing more gigs," Avicii said in the documentary.
 
เขากล่าวในวิดีโอสารคดี
 
"I have said, like, I'm going to die. I have said it so many times. And so I don't want to hear that I should entertain the thought of doing another gig."
 
ท้ายที่สุดครอบครัวก็ได้กล่าวขอบคุณแฟนเพลงที่ให้ความรักและสนับสนุนผลงานเพลงของเขาไว้ว่า ..
 
"We would like to thank you for the support and the loving words about our son and brother. We are so grateful for everyone who loved Tim’s music and have precious memories of his songs. Thank you for all the initiatives taken to honor Tim, with public gatherings, church bells ringing out his music, tributes at Coachella and moments of silence around the world."
 
 
 
10. ผลงานยังหายใจ
 
เดือนมิถุนายน 2019 อัลบั้ม TIM ถูกปล่อยออกมา โดยมีซิงเกิลแรกอย่าง "SOS" ที่ได้น้ำเสียงที่เป็นที่จดจำอย่าง Aloe Blacc มาถ่ายทอดความรู้สึกการร้องขอความช่วยเหลือที่สั่งสมมาตลอดการเดินทางของโปรดิวเซอร์หนุ่ม ไม่นานเพลงนี้ก็ขึ้นสู่อันดับที่ 1 ในชาร์ทของสวีเดน และเข้าไปนั่งอันดับที่ 6 ทั้งใน Billboard Hot Dance/Electronic Songs และ Billboard Hot 100
 
หลังจากเพลงแรกโด่งดังก็มีเพลงที่ 2 อย่าง "Tough Love" ตามมา รวมถึงการร่วมงานกับ Chris Martin ในเพลง "Heaven" ที่หลายคนเคยได้ยิน ในที่สุดก็ถูกปล่อยออกมาให้หลายคนสมหวังในตอนต้น แต่พอได้ฟังเนื้อร้องของเพลงก็น่าจะยิ่งทำให้หลายคนเข้าใจความเจ็บปวดที่เขาทรมานมาตลอดระยะเวลาหลายปีเลยทีเดียว โดยกำไรทั้งหมดจากการขายอัลบั้มชุดนี้จะส่งต่อไปยังมูลนิธิ Tim Bergling Foundation เพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบและสร้างความตระหนักในเรื่องของปัญหาสุขภาพทางจิตใจ (Mental Health) ต่อไป
 
 
ช่วงธันวาคม 2019 ได้มีการจัดคอนเสิร์ตรำลึกในชื่อ Avicii Tribute Concert และต่อมาช่วงกุมภาพันธ์ปี 2020 ตัวพ่อของวงการอย่างป๋า Tiesto ก็ได้นำเพลงที่ Avicii ไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนถึง 3 เพลง มาเล่นเปิดตัวเป็นครั้งแรกในรายการวิทยุ Club Life ซึ่งเป็นการร่วมงานครั้งที่ 5 กับทั้ง 3 ศิลปินดังนี้ คนแรกนาย Aloe Blacc ในเพลง "I Wanna Be Free" ถัดมาเป็นนาย Sandro Cavazza ในเพลง "We Burn" และรวมถึงนาย Wyclef Jean ในเพลง "Now That We Found Love" 
 
และเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2021 ที่ผ่านมานี้ ได้มีประกาศปล่อยหนังสือชีวประวัติ ‘Tim: The Official Biography of Avicii’ ซึ่งเขียนโดยนักข่าวมือรางวัลอย่าง Måns Mosesson โดยมีกำหนดวางแผงในโซน UK และอเมริกาเหนือ ในวันที่ 16 พฤศจิกายนนี้ครับ
 
 
 
แปลและเรียบเรียง ดีเจตั๋ง
ที่มา refinery29.com, Irishtimes.com และ theguardian.com
 
เนื้อหาทั้งหมดที่ปรากฎอยู่ในเว็บไซต์นี้อยู่ภายใต้ความคุ้มครองลิขสิทธิ์และกฎหมาย ทรัพย์สินทางปัญญาของประเทศไทยและระหว่างประเทศ และห้ามทำซ้ำ เผยแพร่ ส่งผ่าน แสดง ตีพิมพ์หรือถ่ายทอดโดยที่ไม่ได้รับความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากบริษัทบี อีซี-เทโร เรดิโอ จำกัด และ/หรือบริษัทในเครือก่อน หรือจากเจ้าของเนื้อหา ในกรณีที่เนื้อหาดังกล่าวเป็นของบุคคลภายนอก ห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือนำออกไปซึ่งเครื่องหมายการค้า ลิขสิทธิ์หรือเครื่องหมายอื่นใดที่ปรากฎอยู่ในเนื้อหาโดยเด็ดขาด